ระบบการศึกษาในโรงเรียนประจำ อังกฤษมีความเป็นเอกลักษณ์และมีชื่อเสียงในด้านคุณภาพการเรียนการสอนมาอย่างช้านาน ด้วยมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก ทำให้การไปเรียนต่อในระดับมัธยมที่ประเทศอังกฤษได้รับความนิยมเสมอมา วันนี้ GoUni จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับระบบการศึกษา รวมถึงบอกต่อสิ่งที่น้องๆ นักเรียนไทยควรรู้ก่อนเข้าเรียนโรงเรียนประจำ อังกฤษ กันค่ะ
เลือกอ่านหัวข้อที่สนใจ
การศึกษาในระดับมัธยม (Secondary Education) ของอังกฤษแบ่งเป็นสองประเภทหลัก ได้แก่ Traditional Schools และ International Schools (ดูตัวอย่างความแตกต่างของโรงเรียนได้ที่นี่) ซึ่งทั้งสองประเภทมีลักษณะเด่นเฉพาะตัวที่ตอบสนองต่อความต้องการของนักเรียนและผู้ปกครองที่แตกต่างกันไป
Traditional Schools (โรงเรียนแบบดั้งเดิม)
โรงเรียนแบบดั้งเดิมในอังกฤษแบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลักคือ โรงเรียนรัฐบาล (State Schools) และ โรงเรียนเอกชน (Independent Schools หรือ Private Schools)
1. State Schools (โรงเรียนรัฐบาล)
โรงเรียนรัฐบาลในอังกฤษให้การศึกษาโดยไม่เก็บค่าเทอม ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล โดยโรงเรียนเหล่านี้ใช้หลักสูตรแห่งชาติ (National Curriculum) ที่กำหนดโดยรัฐบาล ซึ่งหลักสูตรนี้ครอบคลุมวิชาพื้นฐานต่าง ๆ เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และภาษาอังกฤษ
ข้อดีของโรงเรียนรัฐบาล
- ไม่เก็บค่าเทอม ทำให้เป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับครอบครัวทั่วไป
- มีความหลากหลายด้านวัฒนธรรมและนักเรียนจากพื้นเพต่าง ๆ
ข้อเสียของโรงเรียนรัฐบาล
- จำนวนนักเรียนในห้องเรียนค่อนข้างมาก
- อาจขาดทรัพยากรการเรียนการสอนในบางพื้นที่
2. Independent Schools (โรงเรียนเอกชน)
โรงเรียนเอกชนในอังกฤษมีค่าเทอมและมีการบริหารจัดการอย่างอิสระจากรัฐบาล โดยมักจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีและมีคุณภาพการเรียนการสอนที่สูงกว่าโรงเรียนรัฐบาล โรงเรียนเอกชนมักมีชื่อเสียงในการเตรียมนักเรียนให้พร้อมสำหรับการเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนำ
ข้อดีของโรงเรียนเอกชน
- มีทรัพยากรการเรียนการสอนที่ดี เช่น ห้องแล็บที่ทันสมัยและอุปกรณ์การเรียนที่ครบครัน
- คลาสเรียนมีขนาดเล็ก ทำให้ครูสามารถดูแลนักเรียนได้ใกล้ชิด
- มีการจัดกิจกรรมเสริมสร้างทักษะและความสามารถพิเศษมากมาย
ข้อเสียของโรงเรียนเอกชน
- ค่าใช้จ่ายสูง
- บางโรงเรียนอาจขาดความหลากหลายทางวัฒนธรรม
International Schools (โรงเรียนนานาชาติ)
โรงเรียนนานาชาติในอังกฤษเป็นโรงเรียนที่เปิดสอนหลักสูตรที่แตกต่างจากหลักสูตรแห่งชาติ โดยเน้นการเตรียมตัวนักเรียนสำหรับการเรียนต่อในมหาวิทยาลัยต่างประเทศ เช่น หลักสูตร International Baccalaureate (IB), หลักสูตร A-Level และ หลักสูตร IGCSE โรงเรียนเหล่านี้มักมีนักเรียนที่มาจากหลากหลายประเทศและมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมสูง
ข้อดีของโรงเรียนนานาชาติ
- มีการเรียนการสอนที่หลากหลายและมุ่งเน้นทักษะการเรียนรู้ระหว่างประเทศ
- นักเรียนมีโอกาสเรียนรู้และปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมที่หลากหลาย
- เน้นทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหาที่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน
ข้อเสียของโรงเรียนนานาชาติ
- ค่าเทอมค่อนข้างสูง
- จำนวนโรงเรียนนานาชาติอาจมีจำกัดเมื่อเทียบกับโรงเรียนรัฐบาลและโรงเรียนเอกชน
ระบบการเรียนของนักเรียนมัธยมในอังกฤษ
การศึกษาในระดับมัธยมของอังกฤษแบ่งออกเป็นสองช่วงหลัก ได้แก่ Key Stage 3 (Year 7-9) และ Key Stage 4 (Year 10-11) โดยในช่วง Key Stage 4 นักเรียนจะต้องสอบวัดผลเพื่อรับวุฒิการศึกษา General Certificate of Secondary Education (GCSE) หลังจากนั้นนักเรียนสามารถเลือกที่จะเรียนต่อในระดับ Sixth Form (Year 12-13) ซึ่งเป็นช่วงการเตรียมตัวเข้าสู่มหาวิทยาลัย โดยนักเรียนส่วนใหญ่จะเรียน A-Level หรือหลักสูตรอื่น ๆ ที่เหมาะสมกับเป้าหมายทางการศึกษา
ระบบการศึกษาในระดับมัธยมของประเทศอังกฤษมีความหลากหลายและยืดหยุ่น เพื่อรองรับความต้องการที่แตกต่างกันของนักเรียนและครอบครัว โรงเรียนแบบดั้งเดิมและโรงเรียนนานาชาติมีจุดเด่นและข้อเสียที่ต่างกันไป การเลือกประเภทโรงเรียนที่เหมาะสมควรพิจารณาจากเป้าหมายทางการศึกษา ความสามารถทางการเงิน และความต้องการเฉพาะของนักเรียนเอง
ค่าใช้จ่ายในการเรียนโรงเรียนประจำ อังกฤษ
ค่าใช้จ่ายในการเรียนโรงเรียนประจำ (Boarding School) ในอังกฤษอาจสูง เนื่องจากโรงเรียนเหล่านี้มีคุณภาพการเรียนการสอนที่ดีเยี่ยมและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน
ต่อไปนี้คือรายละเอียดค่าใช้จ่ายหลัก ๆ ที่นักเรียนและผู้ปกครองควรทราบ:
1. ค่าเทอม
ค่าเทอมของโรงเรียนประจำในอังกฤษจะแตกต่างกันไปตามประเภทของโรงเรียน โดยโรงเรียนเอกชนมักจะมีค่าเทอมสูงกว่าโรงเรียนรัฐบาลหรือโรงเรียนที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของโรงเรียนประจำในอังกฤษมีดังนี้:
- โรงเรียนเอกชน (Private Boarding Schools): ประมาณ £30,000 – £50,000 ต่อปี ขึ้นอยู่กับชื่อเสียงและมาตรฐานของโรงเรียน
- โรงเรียนรัฐบาล (State Boarding Schools): ประมาณ £10,000 – £18,000 ต่อปี ค่าใช้จ่ายนี้ครอบคลุมเฉพาะค่าที่พักและอาหาร ส่วนค่าเรียนไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับนักเรียนอังกฤษและนักเรียนใน EU (แต่สำหรับนักเรียนนอก EU จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม)
2. ค่าที่พักและอาหาร
สำหรับโรงเรียนประจำ ค่าใช้จ่ายที่พักและอาหารมักจะรวมอยู่ในค่าเทอมแล้ว นักเรียนจะได้รับที่พักในหอพักของโรงเรียน ซึ่งมีการดูแลอย่างใกล้ชิดจากเจ้าหน้าที่ และมีอาหารให้บริการครบทั้งสามมื้อทุกวัน
3. ค่ากิจกรรมนอกหลักสูตรและการทัศนศึกษา
โรงเรียนประจำหลายแห่งในอังกฤษจะจัดกิจกรรมนอกหลักสูตร เช่น การทัศนศึกษา กีฬา ศิลปะ และกิจกรรมสร้างเสริมทักษะ ค่าใช้จ่ายสำหรับกิจกรรมเหล่านี้มักจะรวมอยู่ในค่าเทอม แต่บางครั้งอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับกิจกรรมพิเศษ
4. ค่าหนังสือเรียนและอุปกรณ์การเรียน
ค่าใช้จ่ายสำหรับหนังสือเรียนและอุปกรณ์การเรียนจะอยู่ที่ประมาณ £500 – £1,000 ต่อปี ขึ้นอยู่กับหลักสูตรที่เลือกเรียน บางโรงเรียนอาจมีค่าธรรมเนียมพิเศษสำหรับการใช้ห้องแล็บวิทยาศาสตร์หรือสตูดิโอศิลปะ
5. ค่าเครื่องแบบนักเรียน
โรงเรียนประจำส่วนใหญ่ในอังกฤษจะกำหนดให้นักเรียนใส่เครื่องแบบ ซึ่งค่าใช้จ่ายสำหรับชุดเครื่องแบบนักเรียน รวมถึงชุดกีฬาและเครื่องแต่งกายอื่น ๆ จะอยู่ที่ประมาณ £300 – £1,000 ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของโรงเรียนแต่ละแห่ง
6. ค่าประกันสุขภาพ
การทำประกันสุขภาพเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักเรียนต่างชาติที่มาเรียนในอังกฤษ ค่าใช้จ่ายสำหรับการทำประกันสุขภาพ (Health Insurance) จะอยู่ที่ประมาณ £500 – £1,000 ต่อปี ขึ้นอยู่กับบริษัทประกันและความครอบคลุมของแผนประกัน
7. ค่าใช้จ่ายส่วนตัว
นักเรียนอาจมีค่าใช้จ่ายส่วนตัวเพิ่มเติม เช่น ค่าเดินทาง ค่าโทรศัพท์มือถือ และค่าของใช้ส่วนตัว ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้อาจอยู่ที่ประมาณ £1,000 – £3,000 ต่อปี ขึ้นอยู่กับวิถีชีวิตและความต้องการของนักเรียน
สรุปค่าใช้จ่ายโดยประมาณในการเรียนโรงเรียนประจำ อังกฤษ
ประเภทค่าใช้จ่าย | ค่าใช้จ่ายต่อปี (ประมาณการ) | ค่าใช้จ่ายต่อปี (ไทยบาท) |
---|---|---|
ค่าเทอม (โรงเรียนเอกชน) | £30,000 – £50,000 | 1,320,000 – 2,200,000 บาท |
ค่าเทอม (โรงเรียนรัฐบาล) | £10,000 – £18,000 | 440,000 – 792,000 บาท |
ค่าหนังสือเรียนและอุปกรณ์การเรียน | £500 – £1,000 | 22,000 – 44,000 บาท |
ค่าเครื่องแบบนักเรียน | £300 – £1,000 | 13,200 – 44,000 บาท |
ค่าประกันสุขภาพ | £500 – £1,000 | 22,000 – 44,000 บาท |
ค่าใช้จ่ายส่วนตัว | £1,000 – £3,000 | 44,000 – 132,000 บาท |
รวมค่าใช้จ่ายโดยประมาณ (เอกชน) | £32,300 – £56,000 | 1,421,200 – 2,464,000 บาท |
รวมค่าใช้จ่ายโดยประมาณ (รัฐบาล) | £12,300 – £21,000 | 541,200 – 924,000 บาท |
หมายเหตุ: การคำนวณค่าใช้จ่ายในไทยบาทใช้ค่าเงินอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ £1 = 44 บาท (ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามแต่ละช่วงเวลา ควรตรวจสอบค่าเงินปัจจุบันก่อนทำการวางแผนการเงิน)
คำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับผู้ปกครอง
การเลือกโรงเรียนประจำในอังกฤษควรพิจารณาจากงบประมาณและความเหมาะสมกับลักษณะนิสัยและเป้าหมายของนักเรียน นอกจากนี้ ควรศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน และอาจติดต่อกับตัวแทนการศึกษาเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม รวมถึงตรวจสอบทุนการศึกษาที่โรงเรียนอาจมีให้เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเรียน
การสมัครเรียนต่อโรงเรียนประจำ อังกฤษสำหรับน้อง ๆ นักเรียนไทย
การเรียนต่อในประเทศอังกฤษเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมสำหรับนักเรียนไทย เนื่องจากระบบการศึกษาที่มีคุณภาพและมาตรฐานสูง เพื่อให้น้อง ๆ นักเรียนไทยเข้าใจขั้นตอนการสมัครเรียนต่อระดับมัธยมในประเทศอังกฤษได้ง่ายขึ้น นี่คือข้อมูลสำคัญที่ควรทราบ:
1. การเลือกโรงเรียนประจำ อังกฤษ
น้อง ๆ ต้องพิจารณาว่าต้องการเรียนในโรงเรียนแบบดั้งเดิม (Traditional Schools) หรือโรงเรียนนานาชาติ (International Schools) โดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น:
- หลักสูตรการเรียนการสอน (เช่น National Curriculum, A-Level, หรือ IB)
- ความต้องการในการเตรียมตัวเข้าสู่มหาวิทยาลัยในอนาคต
- ค่าเทอมและงบประมาณของครอบครัว
- ความหลากหลายทางวัฒนธรรมของโรงเรียน
2. การตรวจสอบคุณสมบัติและข้อกำหนดในการรับสมัคร
แต่ละโรงเรียนจะมีข้อกำหนดในการรับสมัครแตกต่างกัน เช่น:
- ผลการเรียนที่ผ่านมา (Transcript)
- ผลการทดสอบภาษาอังกฤษ เช่น IELTS หรือ TOEFL สำหรับนักเรียนที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่
- การทดสอบวัดระดับความรู้ (บางโรงเรียนอาจต้องการผลการทดสอบที่เฉพาะเจาะจง)
3. การเตรียมเอกสารการสมัคร
ในการสมัครเรียนต่อ นักเรียนไทยจะต้องจัดเตรียมเอกสารต่อไปนี้:
- ใบแสดงผลการเรียน (Transcript) จากโรงเรียนปัจจุบัน
- ผลการทดสอบภาษาอังกฤษ (เช่น IELTS, TOEFL)
- จดหมายแนะนำตัว (Personal Statement) ที่อธิบายเกี่ยวกับความสนใจส่วนตัว เหตุผลที่เลือกเรียนต่อในอังกฤษ และเป้าหมายในอนาคต
- จดหมายรับรองจากครู หรือผู้ที่เกี่ยวข้องที่ยืนยันความสามารถและคุณลักษณะของนักเรียน
- สำเนาหนังสือเดินทาง ที่ยังไม่หมดอายุ
4. การสมัครผ่านระบบออนไลน์
โรงเรียนหลายแห่งในอังกฤษมีระบบการสมัครออนไลน์ที่สามารถเข้าถึงได้ผ่านเว็บไซต์ของโรงเรียนโดยตรง บางโรงเรียนอาจใช้ระบบการสมัครกลาง เช่น UCAS สำหรับการสมัครเรียนในระดับที่สูงขึ้น แต่ในกรณีของโรงเรียนมัธยม นักเรียนอาจต้องส่งใบสมัครโดยตรงไปยังโรงเรียนที่ต้องการ
5. การสอบสัมภาษณ์
บางโรงเรียนอาจมีการสอบสัมภาษณ์ผ่านวิดีโอหรือทางออนไลน์ เพื่อประเมินความเหมาะสมของนักเรียน ซึ่งควรเตรียมตัวให้พร้อมด้วยการทบทวนข้อมูลเกี่ยวกับตัวเอง โรงเรียนที่ต้องการสมัคร และหลักสูตรที่สนใจ
6. การเตรียมตัวสำหรับการยื่นขอวีซ่า
เมื่อนักเรียนได้รับการตอบรับเข้าเรียนแล้ว ต้องดำเนินการขอวีซ่าประเภท Student Visa เพื่อเข้าเรียนในประเทศอังกฤษ โดยเอกสารที่ต้องเตรียมมีดังนี้:
- หนังสือตอบรับจากโรงเรียนในอังกฤษ
- ใบแจ้งยอดเงินฝากในบัญชี (เพื่อยืนยันว่ามีเงินเพียงพอสำหรับการศึกษาและการใช้ชีวิตในอังกฤษ)
- เอกสารการตรวจสุขภาพ และใบรับรองความประพฤติ (Police Clearance)
7. การเตรียมความพร้อมก่อนการเดินทาง
น้อง ๆ ควรทำการศึกษาเกี่ยวกับวิถีชีวิตในอังกฤษ รวมถึงการจัดเตรียมสิ่งของที่จำเป็น เช่น เครื่องใช้ส่วนตัว เสื้อผ้าที่เหมาะกับสภาพอากาศในแต่ละฤดู และการศึกษาวิธีการเดินทางในเมืองที่โรงเรียนตั้งอยู่
8. คำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับผู้ปกครอง
ผู้ปกครองสามารถขอคำแนะนำจาก ตัวแทนการศึกษาหรือนักเรียนที่เคยเรียนในอังกฤษ เพื่อความมั่นใจในการเลือกโรงเรียนและการเตรียมตัว นอกจากนี้ ควรติดตามการเรียนรู้และพัฒนาของนักเรียนอย่างใกล้ชิด และสนับสนุนในการปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมใหม่
การเลือกโรงเรียนประจำในอังกฤษควรพิจารณาจากงบประมาณและความเหมาะสมกับลักษณะนิสัยและเป้าหมายของนักเรียน นอกจากนี้ ควรศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน และอาจติดต่อกับตัวแทนการศึกษาเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม รวมถึงตรวจสอบทุนการศึกษาที่โรงเรียนอาจมีให้เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเรียน
คำถามที่มีการถามบ่อยจากน้องๆ และผู้ปกครองที่สนใจศึกษาต่อโรงเรียนประจำ อังกฤษ (Boarding School)
เมื่อพูดถึงการส่งบุตรหลานไปเรียนที่โรงเรียนประจำในอังกฤษ นักเรียนและผู้ปกครองไทยมักมีคำถามที่เกี่ยวข้องกับหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการศึกษา การใช้ชีวิต และค่าใช้จ่าย คำถามยอดนิยมที่พบบ่อย ได้แก่:
เรื่องการเรียนการสอน (โรงเรียนประจำในอังกฤษ / Boarding School)
1. โรงเรียนมีหลักสูตรอะไรบ้าง เช่น A-Level, IB, หรือ GCSE?
คำตอบ:
โรงเรียนประจำในอังกฤษส่วนใหญ่มีหลักสูตรที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล เช่น:
- GCSE (General Certificate of Secondary Education): หลักสูตรพื้นฐานที่นักเรียนเรียนในช่วงอายุ 14-16 ปี เพื่อสร้างพื้นฐานในวิชาหลัก เช่น คณิตศาสตร์, วิทยาศาสตร์, ภาษาอังกฤษ รวมถึงวิชาเลือก เช่น ศิลปะ, ภาษาต่างประเทศ
- A-Level (Advanced Level): หลักสูตร 2 ปี สำหรับนักเรียนอายุ 16-18 ปี ที่ต้องการเรียนเชิงลึกในวิชาเฉพาะ 3-4 วิชา เพื่อเตรียมเข้ามหาวิทยาลัย
- IB (International Baccalaureate): หลักสูตรที่ครอบคลุมและยืดหยุ่น มี 6 กลุ่มวิชาหลัก พร้อมการเรียนรู้แบบองค์รวม เหมาะสำหรับนักเรียนที่ต้องการเข้ามหาวิทยาลัยระดับนานาชาติ
- BTEC (Business and Technology Education Council): หลักสูตรที่เน้นการเรียนรู้เชิงปฏิบัติในสาขาเฉพาะ เช่น ธุรกิจ, เทคโนโลยี, หรือศิลปะ
2. วิธีการสอนและแนวทางการเรียนที่โรงเรียนเป็นแบบไหน?
คำตอบ:
โรงเรียนประจำในอังกฤษมักใช้วิธีการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาความคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) การแก้ปัญหา และการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ครูผู้สอนมีความเชี่ยวชาญในวิชาเฉพาะ และมีการสอนในชั้นเรียนขนาดเล็กเพื่อให้ดูแลนักเรียนได้อย่างทั่วถึง
นอกจากนี้ โรงเรียนยังสนับสนุนการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมนอกห้องเรียน เช่น การทดลองในห้องปฏิบัติการ การวิจัย และการอภิปรายในหัวข้อสำคัญ เพื่อเสริมสร้างทักษะการวิเคราะห์และความมั่นใจในการแสดงความคิด
3. นักเรียนต่างชาติมีโอกาสเรียนเสริมภาษาอังกฤษหรือไม่?
คำตอบ:
มีอย่างแน่นอน โรงเรียนประจำในอังกฤษส่วนใหญ่มักมีโปรแกรม EAL (English as an Additional Language) ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยนักเรียนต่างชาติที่ต้องการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ ครอบคลุมทั้งการเขียน การพูด การฟัง และการอ่าน เพื่อให้สามารถเรียนในวิชาหลักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. โรงเรียนมีอัตราส่วนนักเรียนต่อครูเท่าไร?
คำตอบ:
โรงเรียนประจำในอังกฤษมักมีอัตราส่วนนักเรียนต่อครูประมาณ 8:1 ถึง 12:1 ซึ่งเป็นจำนวนนักเรียนที่ไม่มากเกินไป ทำให้ครูสามารถดูแลและให้คำปรึกษาเฉพาะบุคคลได้อย่างเต็มที่
5. สามารถเลือกวิชาเรียนตามความสนใจได้มากน้อยแค่ไหน?
คำตอบ:
ในระดับ GCSE นักเรียนสามารถเลือกวิชาเลือกได้จากกลุ่มวิชาที่โรงเรียนเสนอ เช่น ศิลปะ, ดนตรี, การออกแบบ, หรือภาษาต่างประเทศ ในระดับ A-Level และ IB นักเรียนจะมีอิสระมากขึ้นในการเลือกวิชาที่สอดคล้องกับเป้าหมายการศึกษาต่อ เช่น วิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียนที่ต้องการเรียนแพทย์ หรือเศรษฐศาสตร์สำหรับนักเรียนที่สนใจเรียนธุรกิจ
6. นักเรียนมีโอกาสเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำหรือไม่?
คำตอบ:
โรงเรียนประจำในอังกฤษส่วนใหญ่มีประวัติการส่งนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำ เช่น Oxford, Cambridge, Imperial College London, และมหาวิทยาลัยใน Russell Group โรงเรียนยังมีโปรแกรมแนะแนวและการช่วยเหลือในการสมัคร UCAS รวมถึงการเตรียมตัวสัมภาษณ์เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้ามหาวิทยาลัยที่นักเรียนต้องการ
เรื่องการสมัครเรียน (โรงเรียนประจำในอังกฤษ / Boarding School)
1. ต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้างในการสมัคร?
คำตอบ:
เอกสารที่ต้องเตรียมสำหรับการสมัครเรียนโรงเรียนประจำในอังกฤษ ได้แก่:
- Transcript และผลการเรียนล่าสุด: เพื่อแสดงความสามารถทางวิชาการ
- จดหมายรับรอง (Recommendation Letter): จากครูหรือนายโรงเรียนที่แสดงถึงศักยภาพและนิสัยของนักเรียน
- Statement of Purpose (SOP) หรือ Personal Statement: อธิบายเหตุผลที่ต้องการเรียนโรงเรียนนี้
- สำเนาพาสปอร์ต
- ผลสอบภาษาอังกฤษ (ถ้ามี): เช่น IELTS, TOEFL, หรือผลการสอบอื่นๆ ที่โรงเรียนกำหนด
- ใบสมัครที่กรอกครบถ้วน: ตามแบบฟอร์มของโรงเรียน
2. นักเรียนต้องสอบหรือสัมภาษณ์อะไรเพื่อเข้ารับการพิจารณาหรือไม่?
คำตอบ:
- การสอบข้อเขียน: นักเรียนอาจต้องสอบข้อเขียนในวิชาพื้นฐาน เช่น คณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษ เพื่อประเมินความเหมาะสมของระดับการเรียน
- การสัมภาษณ์ (Interview): โรงเรียนส่วนใหญ่มักจัดสัมภาษณ์เพื่อทำความรู้จักนักเรียน และตรวจสอบความเหมาะสมด้านทักษะและเป้าหมาย
- บางโรงเรียนอาจต้องการให้นักเรียนทำ แบบทดสอบความถนัด (Aptitude Test) ในวิชาเฉพาะ
3. มีข้อกำหนดเรื่องผลการเรียนหรือภาษาอังกฤษอย่างไร?
คำตอบ:
โรงเรียนประจำส่วนใหญ่กำหนดให้นักเรียนมีผลการเรียนดีในวิชาหลัก เช่น คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ และมีทักษะภาษาอังกฤษในระดับที่สามารถเรียนร่วมกับนักเรียนคนอื่นได้
- หากภาษาอังกฤษยังไม่ถึงเกณฑ์ อาจต้องเรียนโปรแกรมเสริมภาษาอังกฤษ (EAL) ก่อนเริ่มเรียนในหลักสูตรปกติ
4. ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการยื่นสมัครเรียนคือช่วงไหน?
คำตอบ:
การยื่นสมัครเรียนโรงเรียนประจำอังกฤษควรเริ่มต้นล่วงหน้าอย่างน้อย 6-12 เดือน ก่อนปีการศึกษาที่ต้องการเริ่มเรียน
- รอบปีการศึกษาส่วนใหญ่เริ่มในเดือนกันยายน
- การยื่นสมัครแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้นักเรียนมีเวลาเตรียมตัวสำหรับการสอบและสัมภาษณ์
สนใจอยากเรียนต่อมัธยมอังกฤษ สามารถสอบถามพี่ๆ GoUni ได้เลย